ความแตกต่างระหว่าง เคลือบเซรามิก กับ เคลือบแก้ว เลือกแบบไหนดีที่สุด?
สำหรับคนรักรถแล้ว รอยขีดข่วน หรือคราบสกปรก คงเป็นปัญหาที่ไม่อยากเจอ ซึ่งการเคลือบสีรถ สามารถช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งยังช่วยยืดอายุสีรถ ให้สวยเหมือนใหม่ ปัจจุบันก็มีเทคโนโลยี ที่ถูกคิดค้นขึ้นมากมาย รวมถึงการเคลือบแก้ว และเคลือบเซรามิก แต่ทั้ง 2 แบบ มีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วต้องเลือกแบบไหน ถึงจะดีที่สุด เราหาคำตอบมาให้ทุกคนแล้ว
📌 เคลือบแก้ว (Glass Coating) คืออะไร
เคลือบแก้ว คือการใช้สารที่มีชื่อว่า “ซิลิกอนไดออกไซด์” หรือ Silicon Dioxide (SiO2) มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ซิลิก้า” ซึ่งเป็นสารที่ใช้ใน การผลิตแก้วน้ำ เนื่องจากมีคุณสมบัติ เคลือบชั้นผิวให้แข็งแรง ให้ความมันวาว รวมถึงช่วยป้องกันรอยขีดข่วน และคราบสกปรกต่าง ๆ ได้แก่ คราบน้ำ น้ำฝน ฝุ่น โคลน และยางมะตอย ไม่ให้เกาะฝังแน่นบนผิวรถ โดยการเคลือบแก้ว สามารถอยู่ได้นาน ประมาณ 2-3 ปี
ข้อดีของการเคลือบแก้ว
◾มีความทนทาน สามารถใช้งานได้นานหลายปี
◾ช่วยป้องกันรังสี UV คราบสารเคมี และรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ
◾กันน้ำได้อย่างดีเยี่ยม น้ำหรือของเหลวที่มาเกาะ จะกลิ้งออกจากพื้นผิวรถยนต์ ไม่จับตัวเป็นคราบ ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
◾เพิ่มความแวววาว ทำให้รถยนต์สวยงามเหมือนใหม่
ข้อเสียของการเคลือบแก้ว
◾ทนต่อสารเคมีได้น้อยลง โดยเฉพาะน้ำยาทำความสะอาด ที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างสูงจะส่งผลทำให้ เมื่อเวลาผ่านไป สารที่ถูกเคลือบไว้ ก็จะค่อย ๆ เกิดการสึกหรอได้
◾ประสิทธิภาพในการป้องกัน รอยขีดข่วนขนาดใหญ่ หรือแรงกระแทกที่รุนแรง อาจไม่สูงนัก◾หากช่างไม่มีความชำนาญเพียงพอ หรือพื้นผิวรถยนต์ ไม่ได้ถูกเตรียมไว้ อย่างเหมาะสม ก่อนทำการเคลือบ อาจทำให้เกิดคราบน้ำได้ง่าย
📌 เคลือบเซรามิก (Ceramic Coating) คืออะไร?
เคลือบเซรามิก คือการใช้สารที่มีชื่อว่า “ซิลิคอนคาร์ไบด์” หรือ Silicon carbide (SiC) ที่มีคุณสมบัติเด่น เรื่องความแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น จึงช่วยป้องกันรอยขีดข่วน และเพิ่มความเงางามให้ตัวรถ ป้องกันรังสี UV ทำให้รถสีไม่ซีดจาง โดยการเคลือบเซรามิก ปกติแล้วจะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 3-5 ปี
ข้อดีของการเคลือบเซรามิก
◾ทนทานต่อน้ำยาทำความสะอาด ที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างสูง
◾รักษาสภาพสีรถยนต์ให้คงความสวยงามได้ยาวนาน
◾มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันรังสี UV และรอยขีดข่วนได้นานหลายปี
◾มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้อย่างดีเยี่ยม ป้องกันการเกิดคราบน้ำ หรือคราบสกปรกต่าง ๆ
◾เพิ่มความเงางามในระดับสูง ทำให้รถดูเรียบเนียน และแวววาวเหมือนใหม่อยู่เสมอ
ข้อเสียของการเคลือบเซรามิก
◾มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
◾อาจไม่สามารถป้องกัน รอยขีดข่วนขนาดใหญ่ หรือรุนแรงได้ เช่น รอยสะเก็ดหิน◾ใช้ระยะเวลาในการเคลือบค่อนข้างนาน และต้องทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญสูงเท่านั้น
📌 เทียบความแตกต่าง
🔘 ความเงางาม : การเคลือบเซรามิก จะมีความเงางามมากกว่า การเคลือบแก้ว
🔘 ความคงทน : เคลือบเซรามิก มีอายุการใช้งานมากกว่า การเคลือบแก้ว โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 ปี แต่เคลือบแก้วจะอยู่ที่ 2-3 ปี
🔘 ราคา : เคลือบแก้ว จะมีราคาถูกกว่า เคลือบเซรามิก เนื่องจากใช้สารตั้งต้น ที่แตกต่างกัน
🔘 ความทนทาน : เคลือบเซรามิก ทนต่อการกันกร่อน ได้ดีกว่าเคลือบแก้ว เนื่องจากมีโครงสร้าง ที่แข็งแรงกว่า
🔘 ป้องกันคราบ : เคลือบเซรามิก ลดการเกาะติดของคราบน้ำ และสิ่งสกปรก ได้มากกว่าการเคลือบแก้ว
🔘 ป้องกันการขีดข่วน : ทั้งเคลือบแก้ว และเคลือบเซรามิก มีประสิทธิภาพ ในการป้องกัน การขีดข่วนได้ดีไม่ต่างกัน
📌คำแนะนำในการเลือกระหว่าง เคลือบแก้ว VS เคลือบเซรามิก
1. พิจารณาจากสภาพของสีรถยนต์
หากมีรอยขีดข่วน หรือตำหนิเล็กน้อย การเคลือบเซรามิก จะเป็นตอบโจทย์มากกว่า เพราะจะช่วยปกปิดร่องรอยเหล่านี้ได้ แต่หากสีรถยังอยู่ในสภาพดีเยี่ยม การเคลือบแก้วก็เพียงพอแล้ว ที่จะช่วยปกป้องรถ และเพิ่มความสวยงามแวววาวเหมือนใหม่
2. พิจารณาจากงบประมาณ
หากมีงบประมาณ ที่ค่อนข้างจำกัด อาจจะเลือกเป็นการเคลือบแก้ว แต่ถ้าหากไม่มีปัญหา เรื่องงบประมาณ ก็สามารถเลือกเป็น การเคลือบเซรามิก ที่มีประสิทธิภาพ ในการป้องกัน ที่ยาวนานกว่า แม้จะมีราคาสูงกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเคลือบแก้ว หรือเคลือบเซรามิก ต่างก็มีคุณสมบัติเด่น ในการป้องกัน รถยนต์คันโปรดของคุณ ให้สวยเหมือนใหม่อยู่เสมอ จึงสามารถเลือกได้ความชอบ และงบประมาณ แต่ถึงจะเคลือบสีรถแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องดูแล ความสะอาดของรถยนต์เหมือนเดิม ไม่ปล่อยให้คราบสกปรก เกาะฝังแน่นนาน ๆ เพื่อจะได้ยืดอายุ ของการเคลือบสีรถ ให้ยาวนานขึ้นนั่นเอง
ข้อมูลอ้างอิง : https://www.exclusivepaintprotection.com/ , https://www.thedrive.com/ , https://medium.com/ , https://cartecworld.com , https://www.autospinn.com/